องค์ประกอบของคอมพิวเตอร์
คอมพิวเตอร์ คือ อุปกรณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์ electronic device (อิเล็กทรอนิกส์ ดีไว) ที่มนุษย์ใช้เป็นเครื่องมือช่วยในการจัดการกับข้อมูลที่อาจเป็นได้ทั้งตัวเลข ตัวอักษร หรือสัญลักษณ์อื่นที่ใช้แทนความหมายในสิ่งต่าง ๆ คอมพิวเตอร์สามารถทำงานได้หลากหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับชุดคำสั่งที่เลือกมาใช้งาน ทำให้สามารถนำคอมพิวเตอร์ไปประยุกต์ใช้งานได้อย่างกว้างขวาง
ระบบคอมพิวเตอร์ประกอบด้วยองค์ประกอบสำคัญ 4 ส่วน คือ ฮาร์ดแวร์, ซอฟต์แวร์, บุคลากร, ข้อมูลและสารสนเทศ

1. Hardware (ฮาร์ดแวร์) คือ ลักษณะทางกายของเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งหมายถึงตัวเครื่องคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์รอบข้าง peripheral (เพอริพีรีว) ที่เกี่ยวข้อง เช่น ฮาร์ดดิสก์ , เครื่องพิมพ์, ซีพียู, เมนบอร์ด, แรม, การ์ดจอ, ไดร์ฟ ดีวีดี, เคส, จอภาพ, คีบอร์ด, เมาส์ เป็นต้น
ฮาร์ดแวร์ประกอบด้วย
- หน่วยรับข้อมูล จะเป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับข้อมูลต่าง ๆ เข้าสู่คอมพิวเตอร์ จากนั้นหน่วยประมวลผลกลาง จะนำไปประมวลผล และแสดงผลลัพธ์ที่ได้ออกมากให้ผู้ใช้รับทราบทางหน่วยแสดงผลลัพธ์
- หน่วยความจำหลัก จะทำหน้าที่เสมือนเก็บข้อมูลชั่วคราว ข้อเสียของหน่วยความจำหลักคือ หากปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในหน่วยความจำหลักจะหายไป
- หน่วยเก็บข้อมูลสำรอง จะไม่สูญหายตราบเท่าที่ผู้ใช้ไม่ทำการลบข้อมูลนั้น รวมทั้งหน่วยเก็บข้อมูลสำรองยังมีความจุที่สูงมาก ข้อเสียของหน่วยเก็บข้อมูลสำรองคือการเรียกใช้ข้อมูลจะช้ากว่าหน่วยความจำหลักมาก
- หน่วยรับข้อมูล จะเป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับข้อมูลต่าง ๆ เข้าสู่คอมพิวเตอร์ จากนั้นหน่วยประมวลผลกลาง จะนำไปประมวลผล และแสดงผลลัพธ์ที่ได้ออกมากให้ผู้ใช้รับทราบทางหน่วยแสดงผลลัพธ์
- หน่วยความจำหลัก จะทำหน้าที่เสมือนเก็บข้อมูลชั่วคราว ข้อเสียของหน่วยความจำหลักคือ หากปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในหน่วยความจำหลักจะหายไป
- หน่วยเก็บข้อมูลสำรอง จะไม่สูญหายตราบเท่าที่ผู้ใช้ไม่ทำการลบข้อมูลนั้น รวมทั้งหน่วยเก็บข้อมูลสำรองยังมีความจุที่สูงมาก ข้อเสียของหน่วยเก็บข้อมูลสำรองคือการเรียกใช้ข้อมูลจะช้ากว่าหน่วยความจำหลักมาก

2. Software (ซอฟต์แวร์) คอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์ที่ประกอบออกมาจากโรงงานจะยังไม่สามารถทำงานใด ๆ เนื่องจากต้องมี Software (ซอฟต์แวร์) ซึ่งเป็นชุดคำสั่งหรือโปรแกรมที่สั่งให้ฮาร์ดแวร์ทำงานต่าง ๆ ตามต้องการ โดยชุดคำสั่งหรือโปรแกรมนั้นจะเขียนขึ้นมาจาก ภาษาคอมพิวเตอร์ Programming Language (โปรแกรมิงแลงเกท) ภาษาใดภาษาหนึ่ง และมี โปรแกรมเมอร์ Programmer (โปรแกรมเมอร์) หรือนักเขียนโปรแกรมเป็นผู้ใช้ภาษาคอมพิวเตอร์เหล่านั้นเขียนซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ขึ้นมา ซอฟต์แวร์ สามารถแบ่งออกเป็นสองประเภทใหญ่ ๆ คือ
- ซอฟต์แวร์ระบบ System Software (ชิสเต็ม ซอฟแวร์) โดยส่วนมากแล้วจะติดตั้งมากับเครื่องคอมพิวเตอร์เนื่องจากซอฟต์แวร์ระบบเป็นส่วนควบคุมทำงานต่าง ๆ ของคอมพิวเตอร์ เพื่อให้สามารถเริ่มต้นการทำงานอื่น ๆ ที่ผู้ใช้ต้องการได้ต่อไป
- ซอฟต์แวร์ประยุกต์ Application Software (แอพพลิเคชัน ชอฟแวร์) จะเป็นซอฟต์แวร์ที่เน้นในการช่วยการทำงานต่าง ๆ ให้กับผู้ใช้ ซึ่งแตกต่างกันไปตามความต้องการของผู้ใช้แต่ละคน
- ซอฟต์แวร์ระบบ System Software (ชิสเต็ม ซอฟแวร์) โดยส่วนมากแล้วจะติดตั้งมากับเครื่องคอมพิวเตอร์เนื่องจากซอฟต์แวร์ระบบเป็นส่วนควบคุมทำงานต่าง ๆ ของคอมพิวเตอร์ เพื่อให้สามารถเริ่มต้นการทำงานอื่น ๆ ที่ผู้ใช้ต้องการได้ต่อไป
- ซอฟต์แวร์ประยุกต์ Application Software (แอพพลิเคชัน ชอฟแวร์) จะเป็นซอฟต์แวร์ที่เน้นในการช่วยการทำงานต่าง ๆ ให้กับผู้ใช้ ซึ่งแตกต่างกันไปตามความต้องการของผู้ใช้แต่ละคน

3. บุคลากร Peopleware (พิเพิลแวร์) เครื่องคอมพิวเตอร์โดยมากต้องใช้บุคลากรสั่งให้เครื่องทำงาน เรียกบุคลากรเหล่านี้ว่า ผู้ใช้ หรือ user (ยูเชอร์)

4. ข้อมูลและสารสนเทศ Data Information (ดาต้า อิมฟอเมชัน) ในการทำงานต่าง ๆ จะต้องมีข้อมูลเกิดขึ้นตลอดเวลา ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับงานที่ถูกเก็บรวบรวมมาประมวลผล เพื่อให้ได้สารสนเทศที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้ ซึ่งในปัจจุบันมีการนำเอาระบบคอมพิวเตอร์มาเป็นข้อมูลในการดัดแปลงข้อมูลให้ได้ประสิทธิภาพ โดยความแตกต่างระหว่าง ข้อมูล และ สารสนเทศ
สารสนเทศ คือ ข้อมูลที่ผ่านกระบวนการเก็บรวบรวมและเรียบเรียง เพื่อเป็นแหล่งข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้สารสนเทศที่ดี จะช่วยให้ ผู้บริหารสามารถตัดสินใจได้ถูกต้องแม่นยำขึ้น และช่วยให้การประมาณการในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนหรือยอดขายใกล้เคียงกับความเป็นจริงที่จะเกิดขึ้นได้มากที่สุด
สารสนเทศ คือ ข้อมูลที่ผ่านกระบวนการเก็บรวบรวมและเรียบเรียง เพื่อเป็นแหล่งข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้สารสนเทศที่ดี จะช่วยให้ ผู้บริหารสามารถตัดสินใจได้ถูกต้องแม่นยำขึ้น และช่วยให้การประมาณการในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนหรือยอดขายใกล้เคียงกับความเป็นจริงที่จะเกิดขึ้นได้มากที่สุด
หลักการเลือกซื้อคอมพิวเตอร์

1. ลักษณะงานที่ใช้ ในการเลือกซื้อคอมพิวเตอร์มีลักษณะงานที่ควรพิจารณาประกอบในการเลือกซื้อ เช่น นำไปใช้กับงานมัลติมีเดีย ใช้เล่นเกม หรืองานที่มีลักษณะของกราฟิกสูงควรเลือกซื้อคอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ แต่ถ้าลักษณะงานมีการเคลื่อนที่หรือเคลื่อนย้ายบ่อยให้พิจารณาคอมพิวเตอร์แบบพกพา
2. ซีพียู (CPU) หรือ โปรเซสเซอร์ (Processor) เป็นอุปกรณ์ชิ้นหลัก เปรียบเสมือนเป็นสมองของคอมพิวเตอร์ ความเร็วของซีพียูมีหน่วยเป็นเฮิรตซ์ (Hz) ถ้าหากมีค่าสัญญาณนาฬิกามากเท่าไหร่ก็ทำงานได้รวดเร็วขึ้น เช่น I9 9900K 3.60 Ghz
3. เมนบอร์ด (Main Board) เมนบอร์ดเป็นอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่มีความสำคัญ เพราะเป็นแผงวงจรที่เชื่อมต่ออุปกรณ์คอมพิวเตอร์ภายในเข้าด้วยกัน ต้องเลือกให้สามารถรองรับกับ CPU ที่ได้จัดเตรียมไว้ ซ็อกเก็ตมีตำแหน่งที่ติดตั้ง ซีพียู ซึ่งต้องตรวจสอบซ็อกเก็ตตรงกับ CPU หรือไม่ นอกจากนี้ให้พิจารณาซิปเซ็ตที่รองรับเทคโนโลยีต่างๆ รวมถึงรองรับอุปกรณ์ต่างๆด้วย
4. แรม (RAM) สิ่งที่ควรพิจารณาคือชนิดของแรมและความเร็ว DDR4 ที่มีความเร็วสูงกว่า DDR3 เครื่องคอมพิวเตอร์ควรใช้แรมไม่ควรต่ำกว่า 4 GB ส่วนเรื่องจำนวน Slot ความเร็ว RAM ให้พิจารณาร่วมกับข้อจำกัดของ Main Board
5. ฮาร์ดดิสก์ (Hard disk) การเลือก Hard disk ให้พิจารณาความจุ ความเร็วรอบไม่น้อยกว่า 7,200 รอบต่อวินาที การเชื่อมต่อปัจจุบันจะเป็นแบบ SATA II และการเลือกซื้อควรพิจารณาระยะเวลาการรับประกันประกอบ


6. การ์ดจอ (Display Adapter) หรือ กราฟิกการ์ด (Graphic Card) ให้พิจารณาการใช้งานถ้างานมีลักษณะกราฟิกสูง เช่น 3D งานกราฟิก เกม ตรวจสอบการเชื่อมต่อ (Slot) ที่รองรับการเชื่อมต่อกับ Main board ปกติเครื่องคอมพิวเตอร์จะมีการ์ดจอที่มีมากับเมนบอร์ดอยู่แล้ว
7. DVD Drive คุณสมบัติในปัจจุบันไม่แตกต่างกันมากนัก ควรเลือกที่มีความเร็วในการเขียนข้อมูลสูง เช่น 52X
8. การเลือกซื้อจอคอมพิวเตอร์ ให้พิจารณาความละเอียด จอคอมพิวเตอร์จะมีขนาดเป็นนิ้วทำการวัดในแนวเส้นทแยงมุม ความละเอียด (Resolution) ตัวอย่าง เช่น HD 1920 x 1080 สัดส่วนหน้าจอ (Aspect Ratio) ส่วนใหญ่จะมีขนาด 16:9 และพอร์ต (Ports) ในการเชื่อมต่อ พอร์ตพื้นฐานที่มีคือ VGA / DVI / D-Sub และล่าสุดของพอร์ตก็คือ HDMI ซึ่งมีความคมชัดสูงมาก


9. การรับประกันจากบริษัทผู้แทนจำหน่ายให้พิจารณาระยะเวลาและเงื่อนไขการรับประกันเป็นสำคัญ
1. สำหรับการใช้งานที่เน้นการทำงานพื้นฐานทั่วไป ส่วนมากจะใช้งานเพื่อสร้างเอกสาร รายงาน งานในสำนักงานต่างๆรวมถึงการเล่นอินเตอร์เน็ต ซึ่งไม่เน้นความเร็วและเทคโนโลยีสูงนัก สำหรับผู้ใช้ระดับนี้ควรเลือกซื้ออุปกรณ์คอมพิวเตอร์โดยไม่ต้องเน้นคุณลักษณะของเครื่องสูง มีราคาย่อมเยา
ชนิด | สเปค | ราคา |
CPU | AMD Ryzen With Vega Socket AM4 | 3,700 |
Mainboard | AMD A320 Socket AM4 | 1,700 |
Memory | DDR4 4GB 2400Mhz | 2,000 |
Graphics | On APU | - |
Storage | SSD 240-256 GB SATA III | 3,000 |
Case | Micro ATX | 1,500 |
PSU | ติดเคส | - |
รวม | 11,900 |
2. สำหรับการใช้งานด้านกราฟิกสำหรับผู้ใช้ที่ชอบติดตามเทคโนโลยีใหม่ๆ มีการใช้งานหลากหลาย เช่น การออกแบบสื่อสิ่งพิมพ์ ตกแต่งภาพ งานกราฟิก งานเขียนโปรแกรม เล่นเกม ดูหนัง ฟังเพลง เป็นต้น โดยอาจมีการลงซอฟต์แวร์ใหม่ๆ เพื่อทดลองใช้งาน อีกทั้งยังเหมาะกับกลุ่มผู้ใช้ที่ต้องการความคล่องตัวในการทำงาน จึงต้องใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพค่อนข้างสูง และเป็นเครื่องที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้อย่างรวดเร็วทันใจ ไม่ช้าเกินไป และสามารถใช้งานโปรแกรมต่างๆ ได้หลากหลาย
ชนิด | สเปค | ราคา |
CPU | AMD Ryzen With Vega Socket AM4 | 3,700 |
Mainboard | AMD A320 Socket AM4 | 1,700 |
Memory | DDR4 4GB 2400Mhz | 2,000 |
Graphics | Quadro p600 | 6590 |
Storage | SSD 240-256 GB SATA III | 3,000 |
Case | Micro ATX | 1,500 |
PSU | ติดเคส | - |
รวม | 18,490 |
3. สำหรับเล่นเกมคอมพิวเตอร์ผู้ที่ต้องการเล่นเกมได้อย่างเต็มอรรถรสและไม่ติดขัด ต้องใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีคุณภาพ ทั้งความเร็ว ความจุ และมาตรฐานต่างๆ อย่างไรก็ตามการเล่นเกมมากเกินไปจะทำให้เสียเวลาและเสียโอกาสที่จะทำประโยชน์อย่างอื่นมากมายทั้งต่อตนเองและสังคม ดังนั้น จึงควรรู้จักบริหารเวลาให้เหมาะสม ไม่ควรเล่นเกมมากจนกลายเป็นคนติดเกม

การดูแลและบำรุงรักษาคอมพิวเตอร์
1.ทำความสะอาดคอมพิวเตอร์ : ถอดปลั๊กไฟที่ต่อกับเครื่องคอม จอ และอุปกรณ์ต่อพ่วงอื่นๆ ทั้งหมดก่อน ทำความสะอาดโดยใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำเปล่า หรือน้ำยาทำความสะอาดคอมพิวเตอร์ เช็ดส่วนต่างๆที่เป็นตัวเครื่องหรือกรอบหน้าจอ เมาส์ คีย์บอร์ด รวมถึงสายไฟคอมพิวเตอร์
2.กำจัดฝุ่นที่อยู่บนตัวเครื่อง : ใช้แปลงทาสีที่มีขนอ่อนๆ เพราะหน้าจอหรือตัวเครื่องบางรุ่น หากใช้แปรงที่มีขนหนาอาจทำให้เป็นรอยได้ หรือใช้เครื่องเป่าลม ไล่ฝุ่นภายในเครื่อง
3.ตรวจความเรียบร้อยภายในตัวเครื่อง : เปิดฝาเครื่องคอมพิวเตอร์ เช็คพัดลมระบายความร้อน และสายไฟที่อยู่ภายใน ไม่ไปพัน หรือเกี่ยว อุปกรณ์อื่นๆ โดยเฉพาะไม่ไปขัดขวางการทำงานของพัดลมระบายความร้อนตัวเคส ซิงค์ การ์ดแสดงผล
4.การจัดวางคอมพิวเตอร์ : สำหรับคอมพิวเตอร์ PC ควรวางให้ห่างจากกำแพง หรือมีช่องว่างด้านหลังจอประมาณ 1 ฟุต เพื่อการระบายความร้อนที่ดี ให้อากาศสามารถพัดเข้า-ออกได้ สำหรับโน๊ตบุ๊ค ควรยกระดับด้านล่างของโน๊ตบุ๊คให้มีช่องว่างระบายอากาศด้านล่าง หรือใช้ฐานรองที่มีพัดลมระบายความร้อนก็จะช่วยระบายความร้อนได้ดียิ่งขึ้น
5.นำเครื่องคอมเข้าศูนย์บริการหรือร้านซ่อมคอมฯ : หากไม่สะดวกทำด้วยตนเอง การนำเครื่องคอมเข้าศูนย์หรือร้านซ่อมคอม เพื่อให้ผู้ชำนาญการตรวจสอบสภาพอุปกรณ์ต่างๆ และทำความสะอาดภานในภายนอกเครื่อง ก็จะยืดอายุการใช้งานเครื่องให้นานขึ้นได้
6.จัดการลบไฟล์ที่ไม่ได้ใช้แล้วหรือไม่สำคัญ : ไฟล์ชั่วคราวที่ระบบปฏิบัติการสร้างขึ้นมาขณะที่เราใช้งาน หรือ ไฟล์ต่างๆ ที่ดาวน์โหลดและไม่ได้ใช้งานแล้ว หรือไม่สำคัญก็ควรลบทิ้งจากเครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นระยะๆ ก็จะทำให้เครื่องมีทีว่างรับข้อมูลใหม่ และอ่านไฟล์ข้อมูลได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
7.จัดระเบียบไฟล์และโฟลเดอร์ : ควรจะเก็บไฟล์ไว้โฟลเดอร์ แยกเป็นเรื่องๆ ตั้งชื่อโฟลเดอร์ให้สื่อถึงไฟล์ข้อมูลที่อยู่ภายใน ก็จะทำให้เราค้นหาไฟล์ได้สะดวกรวดเร็ว การบันทึกไฟล์ข้อมูลต่างๆ ที่สำคัญ ควรแยกบันทึกไว้ต่างไดร์ฟ กับที่ติดตั้งระบบปฏิบัติการ หากเกิดการติดไวรัสที่ทำความเสียหายกับระบบปฏิบัติการก็จะไม่กระทบการไฟล์งาน
8.ติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสในคอมพิวเตอร์ : ติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัส ตั้งค่าให้โปรแกรมทำการอัพเดรตฐานข้อมูลไวรัสทุกครั้งที่เครื่องต่อเข้าระบบอินเตอร์เน็ต และทำการสแกนไวรัสทั้งเครื่องเป็นระยะ ไม่ดาวน์โหลดไฟล์จากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ ไม่ติดตั้งโปรแกรมที่ละเมิดลิขสิทธิ์เพราะบางครั้งโปรแกรมเหล่านี้มักแฝงไวรัสมาติดตั้งในเครื่องด้วยเสมอ ก่อนเปิดไฟล์จากแฟลชไดร์ฟต้องสแกนไวรัสก่อนทุกครั้ง
9.ลบโปรแกรมที่ไม่ได้ใช้งานออกจากเครื่อง : โปรแกรม หรือเกมส์ ที่ติดตั้งไว้และไม่ได้เข้าใช้งานอีกแล้ว ให้ลบออกจากเครื่องโดยการถอนการติดตั้งจากระบบปฏิบัติการ เนื่องจากโปรแกรมบางประเภทจะทำงานอัตโนมัติหลักจากเครื่องถูกเปิดขึ้นมา ทำให้ทรัพยากรของเครื่องถูกใช้ไปโดยไม่จำเป็น มีผลกระทบต่อความเร็วในการประมวลผลของเครื่อง ห้ามลบไฟล์ของโปรแกรมจากโฟลเดอร์โดยตรงเพราะอาจจะทำให้ระบบปฏิบัติการทำงานผิดพลาดได้
10.การใช้งานที่ถูกวิธี : ควรศึกษาถึงการใช้งานคอมพิวเตอร์ที่ถูกวิธี ทั้ง Hardware และ Software เพื่อทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์อยู่ในสภาพดีและเราได้ใช้งานนานและคุ้มค่ายิ่งขึ้น รวมถึงขจัดปัญหาระหว่างการใช้งานได้อีกด้วย
ไวรัสคอมพิวเตอร์

อย่าสับสน! ระหว่างคำว่า ไวรัสคอมพิวเตอร์ (Computer Virus) กับไวรัสที่เป็นเชื้อโรค ไวรัสคอมพิวเตอร์นั้นเป็นแค่ชื่อเรียกโปรแกรมประเภทหนึ่งที่มีพฤติกรรมคล้ายๆ กับไวรัสที่เป็นเชื้อโรคที่สามารถแพร่เชื้อได้ และมักทำอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตที่มันอาศัยอยู่ แต่ต่างกันตรงที่ว่าไวรัสคอมพิวเตอร์เป็นเพียงโปรแกรมชนิดหนึ่งเท่านั้นไม่ใช่ไวรัสที่เป็นสิ่งมีชีวิต เราลองมาดูรายละเอียดเกี่ยวกับไวรัสคอมพิวเตอร์กันเลยนะครับ ลองติดตามดู
ไวรัสคอมพิวเตอร์ (Computer Virus) คือ โปรแกรมชนิดหนึ่งที่มีความสามารถในการสำเนาตัวเองเข้าไปติดอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ และถ้ามีโอกาสก็สามารถแทรกเข้าไปติดอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ ซึ่งอาจเกิดจากการนำเอาแผ่นดิสก์หรือแฟลชไดร์ฟที่ติดไวรัสจากเครื่องหนึ่งไปใช้กับอีกเครื่องหนึ่ง การที่คอมพิวเตอร์ใดติดไวรัส หมายความว่าไวรัสได้เข้าไปผังตัวอยู่ในหน่วยความจำคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นเรียบร้อยแล้ว การที่ไวรัสจะเข้าไปอยู่ในหน่วยความจำได้นั้นจะต้องมีการถูกเรียกใช้ให้ทำงาน ซึ่งโดยปกติแล้วผู้ใช้มักจะไม่รู้ตัวเลยว่า ขณะที่ตนเรียกใช้โปรแกรมหรือเปิดไฟล์ใดๆขึ้นมาทำงาน ก็ได้เรียกไวรัสขึ้นมาทำงานด้วย จุดประสงค์การทำงานของไวรัสแต่ละตัวขึ้นอยู่กับผู้เขียนโปรแกรมไวรัสนั้น เช่น อาจสร้างไวรัสให้ไปทำลายโปรแกรมหรือข้อมูลอื่นๆ ที่อยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือแสดงข้อความวิ่งไปมาบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ เป็นต้น
ไวรัส (Virus) เป็น มัลแวร์ (Malware) ชนิดแรกที่เกิดขึ้นบนโลกนี้และอยู่มานาน ดังนั้นโดยทั่วไปตามข่าวหรือบทความต่างๆที่ไม่เน้นไปทางวิชาการมากเกินไป หรือเพื่อความง่ายและคุ้นเคยที่จะพูด ก็จะใช้คำว่า Virus แทนคำว่า Malware แต่ถ้าจะคิดถึงความจริงแล้วมันไม่ถูกต้อง อาจจะเป็นเพราะความเคยชินหรืออะไรก็ตาม จึงกลายเป็นว่าคนส่วนใหญ่ใช้คำว่า Virus แทนคำว่า Worm, Trojan, Spyware, Adware เป็นต้น ที่ถูกต้องควรใช้คำว่ามัลแวร์ (Malware) เพราะมัลแวร์มีหลายชนิด แต่ละชนิดก็ไม่เหมือนกัน
มัลแวร์ (Malware) ย่อมาจาก Malicious Software หมายถึงโปรแกรมคอมพิวเตอร์ทุกชนิดที่มีจุดประสงค์ร้ายต่อคอมพิวเตอร์และเครือข่าย หรือเป็นคำที่ใช้เรียกโปรแกรมที่มีจุดประสงค์ร้ายต่อระบบคอมพิวเตอร์ทุกชนิดแบบรวมๆ โปรแกรมพวกนี้ได้แก่ Virus, Worm, Trojan, Spyware, Keylogger, Downloader, Adware, Dialer, Hijacker, BHO, Toolbar บางอย่าง, Hack Tool, Phishing, รวมไปถึง Zombie network, Zero-day attack และอื่นๆ
ความแตกต่างของไวรัส เวิร์ม โทรจัน และสปายแวร์ ความแตกต่างระหว่างไวรัส (Virus), เวิร์ม (Worm), โทรจัน (Trojan), และสปายแวร์ (Spyware) สามารถแบ่งแยกได้ตามลักษณะการทำงาน และพฤติกรรมของการแพร่เชื้อเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์
ไวรัส (Virus) มีลักษณะการแพร่เชื้อไปติดไฟล์อื่นๆในคอมพิวเตอร์โดยการแนบตัวมันเองเข้าไป มันไม่สามารถส่งตัวเองไปยังคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆได้คือต้องอาศัยไฟล์และ Removable Drive เป็นพาหะ สิ่งที่มันทำคือสร้างความเสียหายให้กับไฟล์งานและไฟล์โปรแกรมต่างๆ ลองมารู้จักกับประเภทของไวรัสกันดังนี้ ไวรัสบูตเซกเตอร์ Boot Sector Viruses หรือ Boot Infector Viruses คือไวรัสบูตเซกเตอร์ที่เก็บตัวเองอยู่ในบูตเซกเตอร์ของดิสก์ เมื่อเครื่องคอมพิวเตอร์เริ่มสตาร์ทขึ้นมาตอนแรก เครื่องจะเข้าไปอ่านบูตเซกเตอร์นี้ก่อน ซึ่งในบูตเซกเตอร์นี้จะมีโปรแกรมเล็กๆ ไว้ใช้ในการเรียกระบบปฎิบัติการขึ้นมาทำงาน ไวรัสจึงอาศัยช่องทางตรงนี้เข้าไปแทนที่โปรแกรมดังกล่าว โดยทั่วไปจะเข้าไปติดอยู่บริเวณที่เรียกว่า Master Boot Sector หรือ Partition Table ของดิสก์นั้น ถ้าดิสก์ใดมีไวรัสบูตเซกเตอร์ประเภทนี้ติดอยู่ ทุกๆครั้งที่สตาร์ทบูตเครื่องขึ้นมา ตัวโปรแกรมไวรัสจะทำงานก่อน และจะเข้าไปฝังตัวอยู่ในหน่วยความจำเพื่อเตรียมพร้อมที่จะทำงานตามที่ได้ถูกโปรแกรมเอาไว้ต่อไป2 โปรแกรมไวรัส Program Viruses หรือ File Infector viruses เป็นโปรแกรมไวรัสอีกประเภทหนึ่งที่สามารถแพร่เชื้อไปติดไฟล์โปรแกรมที่มีนามสกุลเป็น .COM หรือ .EXE และไวรัสประเภทนี้สามารถเข้าไปติดอยู่ในไฟล์ที่มีนามสกุลเป็น .SYS หรือโปรแกรมประเภท Overlay Programs ได้ด้วย วิธีการที่ไวรัสใช้คือการแทรกตัวเองเข้าไปอยู่ในโปรแกรม ผลก็คือหลังจากที่โปรแกรมนั้นติดไวรัสแล้วขนาดของไฟล์โปรแกรมจะใหญ่ขึ้น หรือถ้ามีการสำเนาตัวเองเข้าไปทับส่วนของโปรแกรมที่มีอยู่เดิมขนาดของไฟล์อาจจะไม่เปลี่ยนแปลง และยากที่จะซ่อมแซมให้กลับมาได้เหมือนเดิม ลักษณะการทำงานของไวรัสก็คือ เมื่อมีการเรียกใช้โปรแกรมที่ติดไวรัส ส่วนตัวของไวรัสจะทำงานก่อนและจะถือโอกาสนี้ฝังตัวเข้าไปอยู่ในหน่วยความจำ และเมื่อมีการเรียกใช้โปรแกรมอื่นๆ เพิ่มขึ้นมาทำงานอีก ไวรัสก็จะสำเนาตัวเองเข้าไปในโปรแกรมนั้นทันที แต่ก็มีไวรัสอีกอย่างหนึ่งที่ไม่ต้องรอให้ผู้ใช้เปิดโปรแกรมอะไรขึ้นมาเลย แค่อาศัยจุดอ่อนของระบบปฏิบัติการ มันก็สามารถรันตัวเองให้เข้าไปหาโปรแกรมอื่นๆที่อยู่ในดิสก์ได้ด้วยตัวเอง2 โพลีมอร์ฟิกไวรัส Polymorphic Viruses เป็นชื่อที่ใช้เรียกไวรัสที่มีความสามารถในการเปลี่ยนแปลงตัวเองเมื่อมีการสร้างสำเนาของตัวเองเกิดขึ้น ซึ่งอาจทำได้ถึงหลายร้อยรูปแบบ ผลก็คือทำให้ไวรัสเหล่านี้ยากต่อการถูกตรวจจับด้วยโปรแกรมตรวจหาไวรัสที่ใช้วิธีสแกนเพียงอย่างเดียว ไวรัสใหม่ๆ ในปัจจุบันก็เริ่มใช้ความสามารถนี้และมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ2 สทีลต์ไวรัส Stealth Viruses เป็นชื่อเรียกไวรัสที่มีความสามารถในการพรางตัวต่อการตรวจจับด้วยโปรแกรมตรวจหาไวรัสชนิดต่างๆ ไวรัสประเภทนี้จะทำงานด้วยการให้กำเนิด (Generate) หรือสร้างไฟล์ขึ้นมาใหม่เพื่อทำหน้าที่แทนตนเอง ถึงแม้ว่าจะสแกนด้วยโปรแกรมตรวจหาไวรัสแล้วก็ตาม แต่ก็จะพบเพียงไฟล์ไวรัสที่สร้างขึ้นมาใหม่เท่านั้น จะไม่พบตัวตนที่แท้จริงของไวรัสเลย จึงยากต่อการตรวจจับเพราะหาเท่าไรก็ไม่พบ จนถึงขั้นต้องฟอร์แมตล้างเครื่องใหม่กันเลยทีเดียว และไวรัสประเภทนี้นับวันจะยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ2
เวิร์ม (Worm) มีลักษณะและพฤติกรรมคัดลอกตัวเองและสามารถส่งตัวเองไปยังคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆได้อย่างอิสระ โดยอาศัยอีเมล์หรือช่องโหว่ของระบบปฏิบัติการ มักจะไม่แพร่เชื้อไปติดไฟล์อื่น สิ่งที่มันทำคือมักจะสร้างความเสียหายให้กับระบบเครือข่าย และเหมือนจะสร้างความเสียหายให้กับระบบเศรษฐกิจมากที่สุด เวิร์มยังแบ่งออกเป็นชนิดต่างๆได้ดังต่อไปนี้ Email worm เป็นเวิร์มที่อาศัยอีเมล์เป็นพาหะเช่น Mass-mailing worm เป็นเวิร์มที่สามารถค้นหารายชื่ออีเมล์ในเครื่องที่ตกเป็นเหยื่อแล้วก็ส่งตัวเองไปยังที่อยู่อีเมล์เหล่านั้น File-Sharing Networks Worm เป็นเวิร์มที่คัดลอกตัวเองไปไว้ในโฟลเดอร์ที่ขึ้นต้นหรือประกอบด้วยคำว่า sha และแชร์โฟลเดอร์ของโปรแกรมประเภท Peer to Peer (P2P) เช่นเวิร์มที่มีชื่อว่า KaZaa Worm เป็นต้น Internet Worm หรือ Network Worm เป็นเวิร์มที่โจมตีช่องโหว่ของโปรแกรมและระบบปฎิบัติการต่างๆเช่น Blaster worm และ Sasser worm ที่ได้เป็นที่รู้จักกันดี IRC Worm เป็นเวิร์มที่ส่งตัวเองจากเครื่องที่ตกเป็นเหยื่อไปหาคนที่อยู่ในห้องสนทนา (Chat room) เดียวกัน Instant Messaging Worm เป็นเวิร์มที่ส่งตัวเองจากเครื่องที่ตกเป็นเหยื่อไปหาคนที่อยู่ใน Contact list ผ่านทางโปรแกรม Instant Messaging หรือ IM เช่นโปรแกรม MSN และ ICQ เป็นต้น
โทรจัน (Trojan) เป็นมัลแวร์อีกชนิดที่พบเห็นการแพร่ระบาดได้ทั่วไป มีลักษณะและพฤติกรรมไม่แพร่เชื้อไปติดไฟล์อื่นๆ ไม่สามารถส่งตัวเองไปยังคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆได้ ต้องอาศัยการหลอกผู้ใช้ให้ดาวน์โหลดเอาไปไว้ในเครื่องหรือด้วยวิธีอื่นๆ สิ่งที่มันทำคือเปิดโอกาสให้ผู้ไม่ประสงค์ดีเข้ามาควบคุมเครื่องที่ติดเชื้อจากระยะไกล ซึ่งจะทำอะไรก็ได้ หรือมีจุดประสงค์เพื่อล้วงเอาความลับต่างๆ โทรจันยังแบ่งออกได้เป็นหลายชนิดดังนี้ Remote Access Trojan (RAT) หรือ Backdoor เป็นโทรจันที่เปิดช่องทางให้ผู้ไม่ประสงค์ดีสามารถเข้ามาควบคุมเครื่องได้จากระยะไกล หรือทำอะไรก็ได้บนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ตกเป็นเหยื่อ Data Sending and Password Sending Trojan เป็นโทรจันที่โขมยรหัสผ่านต่างๆ แล้วส่งไปให้ผู้ไม่ประสงค์ดี Keylogger Trojan เป็นโทรจันที่ดักจับทุกข้อความที่พิมพ์ผ่านแป้นพิมพ์ของคีย์บอร์ด Destructive Trojan เป็นโทรจันที่สามารถลบไฟล์บนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ตกเป็นเหยื่อได้ DoS (Denial of Service ) Attack Trojan เป็นโทรจันที่เข้าโจมตีระบบคอมพิวเตอร์ที่เป็นเป้าหมายบนอินเทอร์เน็ตในรูปแบบ DoS หรือ DDoS (Distributed denial-of-service) เพื่อทำให้ระบบเป้าหมายปฏิเสธหรือหยุดการให้บริการ (Denial-of-Service) การโจมตีจะเกิดขึ้นพร้อมๆกันและมีเป้าหมายเดียวกัน โดยเครื่องที่ตกเป็นเหยื่อทั้งหมดจะสร้างข้อมูลขยะขึ้นมาแล้วส่งไปที่ระบบเป้าหมาย เพื่อสร้างกระแสข้อมูลให้ไหลเข้าไปในปริมาณมหาศาลทำให้ระบบเป้าหมายต้องทำงานหนักขึ้นและช้าลงเรื่อยๆ เมื่อเกินกว่าระดับที่จะรับได้ ก็จะหยุดการทำงานลงในที่สุด อันเป็นเหตุให้ผู้ใช้ไม่สามารถใช้บริการระบบเป้าหมายได้ตามปกติ2 ส่วนรูปแบบของการโจมตีที่นิยมใช้กันก็มีเช่น SYN flood, UDP flood, ICMP flood, surf, Fraggle เป็นต้น Proxy Trojan เป็นโทรจันที่ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ตกเป็นเหยื่อกลายเป็นเครื่อง Proxy Server, Web Server หรือ Mail Server เพื่อสร้าง Zombie Network ซึ่งจะถูกใช้ให้เป็นฐานปฏิบัติการเพื่อจุดประสงค์อย่างอื่น FTP Trojan เป็นโทรจันที่ทำให้ครื่องคอมพิวเตอร์ที่ตกเป็นเหยื่อกลายเป็นเครื่อง FTP Server Security software Killer Trojan เป็นโทรจันที่ Kill Process หรือลบโปรแกรมป้องกันไวรัสหรือลบไฟร์วอลบนเครื่องที่ตกเป็นเหยื่อ เพื่อง่ายต่อการปฏิบัติการอย่างอื่นต่อไป Trojan Downloader เป็นโทรจันที่ดาวน์โหลด Adware, Spyware และ Worm ให้มาติดตั้งบนเครื่องเหยื่อ
สปายแวร์ (Spyware) มีลักษณะและพฤติกรรมคล้ายโทรจันคือ ไม่แพร่เชื้อไปติดไฟล์อื่นๆ อาศัยการหลอกผู้ใช้ให้ติดตั้งโปรแกรมที่ไม่ประสงค์ดีลงบนเครื่องของตนเอง หรืออาศัยช่องโหว่ของ Web Browser ในการติดตั้งตัวเองลงบนเครื่องเหยื่อ สิ่งที่มันทำคือรบกวนและละเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้คอมพิวเตอร์ สร้างความรำคาญให้กับผู้ใช้มากที่สุด บางตำราอาจใช้คำว่า Grayware ซึ่งแบ่งออกได้เป็นหลายชนิด เช่น Dialer เป็นสปายแวร์ที่เคยอยู่บนเว็บโป๊ต่างๆ และใช้โมเด็มเครื่องเหยื่อหมุนโทรศัพท์ทางไกลต่อไปยังต่างประเทศ Hijacker เป็นสปายแวร์ที่สามารถเปลี่ยนแปลง Start Page และ Bookmark บนเว็บบราวเซอร์ต่างๆ BHO (Browser Helper Objects) เป็นสปายแวร์ที่ยัดเยียดฟังก์ชั่นที่ไม่พึงประสงค์ให้บนเว็บบราวเซอร์ Toolbar บางอย่างก็จัดเป็นสปายแวร์ที่ยัดเยียดเครื่องมือที่ไม่พึงประสงค์ให้บนเว็บบราวเซอร์ด้วย
เกี่ยวกับ
เว็ปไซต์นี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา คอมพิวเตอร์สำหรับโลกอนาคต2
จำนวนครั้งที่เข้าชม
779