1. เทคโนโลยี Augmented Reality (AR)

       ปัจจุบันนี้นับว่าเทคโนโลยีมีความสำคัญและเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของเราเยอะมาก ธุรกิจต่างๆมีการผลัดเปลี่ยน หมุนเวียน ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีกันมากขึ้น Internet, Smartphone และ Tablet เข้ามามีบทบาทสำคัญกับเราเป็นอย่างมาก และหนึ่งในเทคโนโลยีที่มาพร้อมกันนั้นก็คือ AR/VR นั่นเอง
AR คืออะไร?
AR ย่อมาจาก Augmented Reality ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่นำเอาภาพเสมือน 3 มิติจำลองเข้าสู่โลกจริงผ่านกล้องและมีการประมวลผลโดยการทำให้วัตถุ 3 มิติ (ภาพเสมือน) ทับซ้อนเข้ากันกับภาพจริงเป็นภาพๆเดียว โดยเราสามารถมองผ่านกล้องได้โดยตรงเลย
ซึ่งเมื่อเราได้ยินคำว่า AR ก็มักจะได้ยินร่วมกับคำว่า VR ซึ่งย่อมาจาก Virtual Reality เป็นเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกัน ต่างกันที่ VR คือการจำลองโลกเสมือนขึ้นมาและเข้าถึงได้จากอุปกรณ์เสริมต่างๆ เช่น แว่น Oculus Rift, Play Station VR เป็นต้น

จะเห็นได้ว่าเทคโนโลยี AR นั้นมีมาตั้งแต่ปี 2010 และถ้านึกถึงเทคโนโลยี AR ส่วนใหญ่ที่ผู้คนนึกถึงก็จะเป็นในด้าน Game และ Entertainment กันเป็นหลัก เนื่องจากในช่วง 2–3 ปีมานี้ แอพพลิเคชันที่เป็นตัวอย่างการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AR ได้เป็นอย่างดีเลยก็คือ Pokemon Go นั่นเอง



ชนิดของ Augmented Reality

Marker-Based : ซึ่งจะอยู่ในรูปแบบเครื่องหมาย สัญลักษณ์ต่างๆ เป็นใบปลิว โบรชัวร์ต่างๆ ผู้ใช้ทำการ scan ด้วยกล้องจากตัว smartphone เพื่อแสดงภาพ 3 มิติ

Location-Based : ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องใช้ smartphone scan จากภาพ เพียงแค่ใช้ GPS ของเครื่องนั้นๆ ก็สามารถแสดงภาพ 3 มิติได้

AR สามารถแบ่งแยกชนิดหลักๆ ได้ 2 ชนิดหลักๆ คือ
การทำงานหลักๆของ AR (ขึ้นอยู่กับ Engine และ Toolkit ของแต่ละผู้ผลิต) ซึ่งส่วนหลักๆจะคล้ายๆกัน เช่น

Tracking : ติดตาม วัดแรงเฉื่อย วัดตำแหน่ง องศาของโทรศัพท์ ทำให้รู้ว่าอยู่ในทิศทางใด

Rendering : การแสดงผลพวกภาพ Model 3 มิติ ร่วมกับภาพจริงๆ ให้เป็นเหมือนภาพเดียวกัน

Scene : มีการเข้าใจรายละเอียดของฉากในภาพ เช่น ถ้าห้องมืด ภาพก็จะสว่างๆ

มุมมอง AR/VR ในปี 2018

ทำไมปีที่ผ่านมา ปี 2017 สองบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Google และ Apple ทำการเปิดตัว AR Technologies โดยทาง Apple เปิดตัว ARKit พร้อมกับ iPhone 8 และ iPhone X ในขณะที่ Google ก็เปิดตัว ARCore ซึ่งรองรับมือถือ Android ของตัวเองและมีแผนให้รองรับยี่ห้ออื่นๆในอนาคต

ซึ่งถ้าหากมองย้อนกลับไปหลายๆปีก่อน เทคโนโลยี AR ดูน่าตื่นเต้น เป็นเรื่องแปลกใหม่ แต่ก็นำมาประยุกต์ใช้เพื่อความบันเทิงหรือเป็นกิมมิคเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น รวมถึงข้อจำกัดหลายๆอย่าง ทั้ง Hardware มือถือแต่ละรุ่นไม่รองรับ ทำให้ส่วนใหญ่แอพพลิเคชันที่ออกมาก็จะมีข้อจำกัด ใช้ได้แค่เพียงผู้ผลิตเดียวเท่านั้น
แต่เมื่อทั้ง Apple และ Google ออกตัวช่วยมาทำให้ในมุมของนักพัฒนาสามารถที่จะสร้างสรรค์ผลงานได้ง่ายขึ้น เชื่อว่าอนาคตจะต้องมีแอพที่ใช้ AR มากขึ้นเช่นกัน รวมถึง Smartphone และ Tablet ก็ยังเป็นอุปกรณ์ที่คนส่วนใหญ่มีและใช้งานในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว และล่าสุด Facebook (เป็นบริษัทที่ทำ Oculus Rift อุปกรณ์ในการใช้งาน VR) ก็เพิ่งเปิดตัว ให้เราสามารถอัพโหลดรูป 3 มิติ ลง Facebook รวมถึงสามารถดูได้ผ่าน Browser ได้เลย ซึ่งก็ต้องมาลองติดตามว่าในปี 2018 เทคโนโลยี AR/VR จะไปได้ไกลแค่ไหน ซึ่งถ้ามุมมองของ Developers ต้องบอกเลยว่าน่าสนใจทีเดียว จริงๆสนใจตั้งแต่ Facebook ซื้อ Oculus Rift แล้ว แต่ก็ยังไม่ชัดเจนว่าจะเอามาประยุกต์ใช้อะไรได้นอกเหนือจาก Entertainment


. . .


2. หน้าจอแสดงผลที่สามารถบิดงอได้


ทีม Queen’s University จากแคนาดาได้พัฒนาสร้างสมาร์ทโฟนชื่อว่า HoloFlex ที่จอโค้งสามารถบิดงอได้ด้วย โดยเมื่อบิดจอระบบก็พร้อมตอบสนองที่แตกต่างจากเดิมขณะที่เราบิดจออยู่  และจากหน้าจอนี้แสดงผลแบบ 3มิติ เหมือนเรามองชมภาพโฮโลแกรมเลยทีเดียว
holoflex-smartphone-bend-3d-hologram-01
โดยสเปคเครื่อง HoloFlex ที่ถูกสร้างขึ้นและใช้ในการทดสอบนั้น รันบน Android 5.1 หน่วยความจำ 2GB ใช้ซีพียู Qualcomm Snapdragon 810 1.5 GHz หน้าจอ 1920×1080 FULL HD หน้าจอสัมผัสแบบ Flexible Organic Light Emitting Diode (FOLED) สามารถนำมาทดสอบเกมที่ใช้กระบวนการสร้างภาพ Hologram ( holographic gaming ) หรือการนำเสนองานแบบ 3 มิติได้

นับว่าเป็นการพัฒนาอีกขั้นที่จะได้เห็นสมาร์ทโฟนที่บิดงอได้โดยไม่มีปัญหานี้มาใช้งานจริงๆในเร็วๆนี้
. . .

3. ภาพฮอโลกราฟี (Holograms)

โฮโลแกรม เป็นภาพที่มีลักษณะ 3 มิติ ซึ่งแตกต่างจากภาพ 2 มิติ ภาพฮอโลแกรมจะใช้หลักการสร้างภาพให้มีการแทรกสอดของแสงที่มากระทบรูปภาพ โดยการฉายแสงเลเซอร์จากแหล่งเดียวกัน แยกเป็น 2 ลำแสง ลำแสงหนึ่งเป็นลำแสงอ้างอิงเล็งตรงไปที่แผ่นฟิล์ม อีกลำแสงหนึ่งเล็งไปที่วัตถุและสะท้อนไปยังฟิล์ม แสงจากทั้งสองแหล่งจะถูกบันทึกไว้บนฟิล์มในรูปแบบของการแทรกสอด (Interference Pattern) ซึ่งมองไม่คล้ายกับรูปของวัตถุต้นแบบ ก่อให้เกิดภาพเสมือน (Virtual image) ขึ้นมาตามมุมของแสงที่มาตกกระทบ ทำให้ตาของเรารับแสงอีกด้านหนึ่งของแผ่น Hologram เกิดเห็นภาพ 3 มิติขึ้น
a
โฮโลแกรมนี้ถูกค้นพบโดยเดนนิส กาบอร์ (Dennis Gabor, 1900-1979) วิศวกรไฟฟ้าชาวฮังการี ในวันอีสเตอร์ ปี ค.ศ. 1947 โดยกาบอได้ค้นพบหลักการของฮอโลกราฟีโดยบังเอิญ ในระหว่างที่พัฒนาปรับปรุงคุณภาพของกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนที่บริษัท British Thomson-Houston ที่เมือง Rugby ประเทศอังกฤษ. จากการค้นพบนี้ กาบอได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ ในปี ค.ศ. 1971 เทคนิคที่คิดค้นเดิมยังใช้อยู่ในกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน ที่เป็นที่รู้จักกันในชื่อภาพสามมิติอิเล็กตรอน แต่ภาพสามมิติเป็นเทคนิคแสงซึ่งไม่ได้มีการพัฒนาอย่างจริงจัง จนกระทั่งมีการพัฒนาของเลเซอร์ในปี 1960
b
โฮโลแกรมแสงที่ใช้ได้จริงชิ้นแรกนั้นบันทึกอยู่ในรูปของวัตถุ 3D ซึ่งถูกสร้างขึ้นในปี 1962 โดย Yuri Denisyuk ในสหภาพโซเวียต และโดย Emmett Leith และ Juris Upatnieks ที่ University of Michigan ประเทศ USA ความก้าวหน้าในเทคนิคการประมวลผลโฟโตเคมีคัลเป็นการผลิต เพื่อแสดงภาพโฮโลแกรมที่มีคุณภาพสูง ซึ่งทำได้สำเร็จโดย Nicholas J. Phillips
c    d     e
      หลักการของ Hologram ฮอโลแกรม เป็นภาพที่มีลักษณะ 3 มิติ ซึ่งแตกต่างจากภาพ 2 มิติ เช่น ภาพถ่าย ภาพวาด จอคอมพิวเตอร์ โทรทัศน์ เป็นต้น ภาพเหล่านี้จะเป็นภาพ 2 มิติ เมื่อแสงจากแหล่งกำเนิดแสง ไปกระทบผิวของภาพถ่าย, ภาพวาด ก็จะสะท้อนกลับมายังที่ตา ทำให้มองเห็นภาพเป็น 2 มิติ
แต่ภาพฮอโลแกรมจะใช้หลักการสร้างภาพให้มีการแทรกสอดของแสงที่มากระทบรูปภาพ โดยการฉายแสงเลเซอร์จากแหล่งเดียวกัน แยกเป็น 2 ลำแสง ลำแสงหนึ่งเป็นลำแสงอ้างอิงเล็งตรงไปที่แผ่นฟิล์ม อีกลำแสงหนึ่งเล็งไปที่วัตถุและสะท้อนไปยังฟิล์ม แสงจากทั้งสองแหล่งจะถูกบันทึกไว้บนฟิล์มในรูปแบบของการแทรกสอด (Interference Pattern) ซึ่งมองไม่คล้ายกับรูปของวัตถุต้นแบบ ก่อให้เกิดภาพเสมือน (Virtual image) ขึ้นมาตามมุมของแสงที่มาตกกระทบ ทำให้ตาของเรารับแสงอีกด้านหนึ่งของแผ่น Hologram เกิดเห็นภาพ 3 มิติขึ้น
f
การสร้างฮอโลแกรมแบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอน ดังนี้
  1. การบันทึกภาพ (recording of image) เป็นการบันทึกแถบการสอดแทรกเชิงซ้อน (Complex interference patterns) ซึ่งเกิดจากที่แต่ละแสงเลเซอร์ 2 ลำแสงซ้อนทับกันอยู่ (Superposition) แถบการสอดแทรกเชิงซ้อนนี้จะถูกบันทึกไว้บนฟิล์มถ่ายรูป (Photographic film)
  2. การสร้างภาพ (reconstruction of image) เป็นการสร้างภาพ 3 มิติ ขึ้นจากแผ่น
f
เลเซอร์
โฮโลแกรมจะถูกบันทึกได้โดยใช้ไฟแฟลชของแสงที่ส่องสว่างบนฉากรับภาพ, แล้วประทับลงบนสื่อบันทึกข้อมูลพบมากในวิธีการถ่ายภาพที่ถูกบันทึกไว้
ประเภทของโฮโลแกรม
  1. white-light hologram  คือ ภาพฮอโลแกรมที่บันทึกนั้น สามารถมองเห็นได้ด้วยการส่องสว่าง ด้วยแสงสว่างจากธรรมชาติ
  2. ภาพฮอโลแกรม ที่ต้องถูกส่องสว่างด้วยแสงเลเซอร์ หรือแสงที่มีสภาพหน้าคลื่นสอดคล้องกันในระดับหนึ่ง ถึงจะมองเห็นภาพ 3 มิติได้
นอกจากนี้ ยังอาจแบ่งฮอโลแกรมออกได้เป็น transmission hologram, reflection hologram, image-plane hologram, และอื่นๆ อีกหลายประเภท


. . .

4. เทคโนโลยี Dolby Vision

ปัจจุบัน เราใช้เวลากับ SmartPhone เพื่อความบันเทิงมากขึ้น การดูหนังเรื่องโปรดหรือซีรี่ส์สุดฮิตผ่าน SmartPhone ดีๆ ที่ให้คุณภาพของภาพไม่แพ้ในโรงภาพยนตร์ ถือเป็นประสบการณ์ผ่านหน้าจอ SmartPhone ที่ให้อรรถรสมากขึ้น และด้วยเทคโนโลยี Dolby Vision ที่มีใน LG G6 SmartPhone พรีเมียม ก็ยิ่งช่วยมอบ ความบันเทิงได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด

คำถามคือ ‘Dolby Vision’ คืออะไร ทำไมจึงต้องมีอยู่ใน SmartPhone
หากจะอธิบายง่ายๆ Dolby Vision ก็คือเทคโนโลยีที่ออกแบบมาเพื่อคุณภาพที่ดีที่สุดสำหรับการดูหนังในปัจจุบันนี้ ช่วยให้ภาพสดใส ดูมีชีวิตชีวา ทำให้เราดูหนังอย่างมีอรรถรสมากขึ้น เพราะ Dolby Vision สามารถแสดงเฉดสีให้สมจริงแบบคนถ่ายเห็นอย่างไร เราก็จะเห็นอย่างนั้น และยังแสดงผลของภาพทั้งความเข้ม ลึก และสว่างมากกว่าปกติ แก้ปัญหาการผิดเพี้ยนของภาพ ถ่ายทอดภาพให้เราได้เห็นตามต้นฉบับที่ผู้ถ่ายทำต้องการนำเสนอ

ปัจจุบันผู้ผลิตหนังระดับ Major จาก Hollywood และวีดีโอสตรีมมิ่งเจ้าดังอย่าง Netflix เองก็หันมาเลือกใช้
การถ่ายทำด้วยเทคโนโลยี Dolby Vision กันมากขึ้นทำให้เรามีตัวเลือกหนังให้รับชมมากมาย หากคุณมักรับชมหนังเรื่องโปรดผ่าน SmartPhone ไม่ว่าจะเป็นระหว่างเดินทาง ท่องเที่ยว หรือยามพักผ่อน การมี SmartPhone ที่รองรับ Dolby Vision ก็จะช่วยให้ช่วงเวลาความบันเทิงของคุณเพลิดเพลินได้อารมณ์มากยิ่งขึ้น

ล่าสุด เทคโนโลยี Dolby Vision ก็ได้ถูกนำเข้ามาสู่ SmartPhone เป็นครั้งแรก
ใน LG G6 SmartPhone พรีเมียม ที่มาพร้อมหน้าจอ 5.7 นิ้ว ซึ่งแอลจี ประเทศไทยเพิ่งเปิดตัวคืนสังเวียนตลาด SmartPhone พรีเมียมในไทย ไปเมื่อเร็วๆ นี้ และยังเป็น SmartPhone พรีเมียมแบรนด์เดียวในขณะนี้ที่นำเสนอเทคโนโลยี Dolby Vision และ HDR 10 โดยสามารถใช้งานโหมด Dolby Vision ได้ถึง 4 โหมดคือ โหมด Bright นำเสนอวีดีโอคุณภาพดีที่สุดในสภาพแวดล้อมที่สว่างขึ้น, โหมด Vivid เพิ่มความสว่างและสีเพื่อภาพที่คมชัดขึ้น, โหมด Cinematic ให้ภาพที่ใกล้เคียงโรงภาพยนตร์มากที่สุด และโหมด Standard รักษาสมดุลระหว่างการประหยัดพลังงานและคุณภาพวีดีโอ


(อ้างอิง: https://medium.com/devahoy/augmented-reality-in-advertising-7bde4e29ebba)
(อ้างอิง: https://www.it24hrs.com/2016/holoflex-smartphone-bend-3d-hologram/)
(อ้างอิง: https://hololen.wordpress.com/hologram/)
(อ้างอิง: https://ireview.in.th/pr-dolby-vision-lg-g6-smartphone/
)

Leave a Reply

Subscribe to Posts | Subscribe to Comments

เกี่ยวกับ

เว็ปไซต์นี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา คอมพิวเตอร์สำหรับโลกอนาคต2

จำนวนครั้งที่เข้าชม

- Copyright © คอมพิวเตอร์สำหรับโลกอนาคต2 - Contact - Powered by Blogger - Designed by Kart Tags -