ความหมายและความสำคัญของเทคโนโลยี


เทคโนโลยี  หมายถึง  การนำความรู้ทางธรรมชาติวิทยาและต่อเนื่องมาถึงวิทยาศาสตร์ มาเป็นวิธีการปฏิบัติและประยุกต์ใช้เพื่อช่วยในการทำงานหรือแก้ปัญหาต่าง ๆ อันก่อให้เกิดวัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องจักร แม้กระทั่งองค์ความรู้นามธรรมเช่น ระบบหรือกระบวนการต่าง ๆ เพื่อให้การดำรงชีวิตของมนุษย์ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น 




ความสำคัญของเทคโนโลยี


     1.  เป็นพื้นฐานปัจจัยจำเป็นในการดำเนินชีวิตของมนุษย์ 
     2.  เป็นปัจจัยหลักที่จะมีส่วนร่วมในการพัฒนา 
     3.  สร้างคุณภาพชีวิตที่ดี
     4.  เกิดการสื่อสารไร้พรมแดน 
     5.  การทำงานรวดเร็วคล่องตัว
     6.  ป้องกันความเสียหายของชีวิตและทรัพย์สิน
     7.  เป็นเรื่องราวของมนุษย์ และธรรมชาติ 





วิวัฒนาการเทคโนโลยี


             ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา  วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้มีบทบาทสำคัญเพิ่มขึ้นจนสามารถสร้าง นวัตกรรม (Innovation) ซึ่งก็คือ การเรียนรู้ การผลิตและ การใช้ประโยชน์จากความคิดใหม่  ให้เกิดผลทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง  สิ่งแวดล้อม  และวัฒนธรรม  เทคโนโลยีทำให้สังคมโลกที่เรียบง่าย กลายเป็นสังคมที่มีการดำรงชีวิตที่สลับซับซ้อนมากขึ้น  ก่อให้เกิดกระแสแห่งความไร้พรมแดน  หรือกระแสโลกาภิวัฒน์ ที่เข้ามาสู่ทุกประเทศอย่างรวดเร็ว  จากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศ อันเป็นการผสมผสาน 4 ศาสตร์ เข้าด้วยกัน  ได้แก่ อิเล็อทรอนิกส์  คอมพิวเตอร์  โทรคมนาคม  และข่าวสาร  (Electronics , Computer ,Telecommunication and Information หรือเรียกย่อ ๆ ว่า ECTI ) ทำให้สังคมโลกสามารถสื่อสารกันได้ทุกแห่งทั่วโลกอย่างรวดเร็ว  สามารถรับรู้ข่าวสาร ความเคลื่อนไหวต่าง  ๆ ได้พร้อมกัน  สามารถบริหารจัดการและตัดสินใจได้ทุกขณะเวลา การลงทุนค้าขาย และธุรกรรมการเงินทำได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นเทคโนโลยีกำลังทำโลกใบนี้ “เล็กลง” ทุกขณะ



ผลของเทคโนโลยีด้านลบและด้านบวก


      เทคโนโลยีถือได้ว่ามีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตประจำวันของมนุษย์มากไม่ว่าจะเป็นด้านการเรียนการสอน  การทำงานต่างๆ  และการติดต่อสื่อสารซึ่งถือได้ว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง   แต่ถ้ามนุษย์ไม่รู้จักใช้ก็จะมีโทษต่อมนุษย์เช่นกัน  เช่น  มีผลทำลายธรรมชาติสิ่งแวดล้อม  และอาจทำให้มนุษย์ขี้เกียจทำงานมากขึ้น  เพราะอันเนื่องมาจากความสะดวก  สบายรวดเร็วเกินไป



ด้านบวก


1. การสร้างเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น   สภาพความเป็นอยู่ของสังคมเมือง มีการพัฒนาใช้ระบบสื่อสารโทรคมนาคม เพื่อติดต่อสื่อสารให้สะดวกขึ้น มีการประยุกต์มาใช้กับเครื่องอำนวยความสะดวกภายในบ้าน เช่น ใช้ควบคุมเครื่องปรับอากาศ ใช้ควมคุมระบบไฟฟ้าภายในบ้าน เป็นต้น
2. เสริมสร้างความเท่าเทียมในสังคมและการกระจายโอกาส   เทคโนโลยีสารสนเทศทำให้เกิดการกระจายไปทั่วทุกหนแห่ง แม้แต่ถิ่นทุรกันดาร ทำให้มีการกระจายโอกาสการเรียนรู้ มีการใช้ระบบการเรียนการสอนทางไกล การกระจายการเรียนรู้ไปยังถิ่นห่างไกล นอกจากนี้ในปัจจุบันมีความพยายามที่จะใช้ระบบการรักษาพยาบาลผ่านเครือข่ายสื่อสาร 
3. สารสนเทศกับการเรียนการสอนในโรงเรียน   การเรียนการสอนในโรงเรียนมีการนำคอมพิวเตอร์และเครื่องมือประกอบช่วยในการเรียนรู้ เช่น วีดิทัศน์ เครื่องฉายภาพ คอมพิวเตอร์ช่วยสอน คอมพิวเตอร์ช่วยจัดการศึกษา จัดตารางสอน คำนวณระดับคะแนน จัดชั้นเรียน ทำรายงานเพื่อให้ผู้บริหารได้ทราบถึงปัญหาและการแก้ปัญหาในโรงเรียน ปัจจุบันมีการเรียนการสอนทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศใน โรงเรียนมากขึ้น


ด้านลบ

1. ก่อให้เกิดความเครียดในสังคมมากขึ้น  เนื่องจากมนุษย์ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง เคยทำอะไรแบบใด มักจะชอบทำแบบนั้น ไม่ชอบการ เปลี่ยนแปลง แต่เทคโนโลยีสารสนเทศเข้าไปเปลี่ยนแปลง บุคคลที่รับการเปลี่ยนแปลงไม่ได้ จึงเกิดความวิตกกังวล จนกลาย เป็นความเครียด กลัวว่าคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศจะทำให้คนตกงาน เพราะสิ่งเหล่านี้จะเข้ามาทดแทนมนุษย์
2. ก่อให้เกิดการรับวัฒนธรรม  หรือการแลกเปลี่ยนวัฒนรรมของคนในสังคมโลก ทำให้พฤติกรรมที่แสดงออก
ด้านการแต่งกาย และการบริโภคเปลี่ยนแปลงไป การมอมเมาเยาวชนในรูปของเกมส์อิเล็คทรอนิคส์ ส่งผลกระทบ ต่อการพัฒนาอารมณ์และจิตใจของเยาวชน เกิดการกลืนวัฒนธรรมดั้งเดิมซึ่งแสดงถึงเอกลักษณ์ของสังคมนั้น
3. ก่อให้เกิดผลด้านศีลธรรม   บทบาทเหล่านี้มีแนวโน้มที่สำคัญมากยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้เยาวชนคนรุ่นใหม่จึงควรเรียนรู้ และเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อจะได้เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศให้ก้าวหน้า และเกิดประโยชน์ต่อประเทศต่อไป




ประโยชน์ของเทคโนโลยี


- ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของมนุษย์ แถมยังช่วยพัฒนาระบบอารายธรรมโดยทางอ้อมอีกด้วย
เรื่องราวจากการเริ่มต้นเทคโนโลยี ยาวนานจนบัดนี้ทำให้มนุษย์เราแทบไม่สามารถแยกจากเทคโนโลยีไปได้แล้ว
- ช่วยให้มนุษย์มีความสะดวกสบายขึ้น
- ช่วยให้เราทันสมัย
- ช่วยประหยัดเวลา
- ช่วยในการทำงาน



ตัวอย่างเทคโนโลยีสมัยใหม่

1. ชาร์จไร้สายแบบ Over-the-air
เทคโนโลยี ในอนาคต
สมาร์ทโฟนในปัจจุบันหลายรุ่นรองรับการชาร์จแบตเตอรี่แบบไร้สาย (Wireless Charging) บ้างแล้ว ติดอยู่ตรงที่ข้อจำกัดของ เทคโนโลยี ที่ยังต้องใช้แท่นชาร์จอยู่ ที่ชาร์จได้ช้าและเชื่อมต่อได้จำกัดพื้นที่ แต่จะสุดกว่านี้คงต้องแบบไร้สายโดยไม่พึ่งแท่นชาร์จ หรือจะดีมากๆเลยถ้าจะเป็น “การส่งพลังงานเพื่อชาร์จผ่านทางอากาศ” (Over-the-air)
ซึ่งบริษัทแห่งหนึ่งที่มีชื่อว่า Energous ได้รับการอนุมัติจาก Federal Communications Commission คณะกรรมการกลางกำกับดูแลกิจการสื่อสารของสหรัฐฯ หรือ FCC สำหรับเครื่องที่ส่งพลังงาน ไปที่อุปกรณ์ต่าง ๆ ในระยะ 3 ฟุต (1 เมตรโดยประมาณ) ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟน, นาฬิการุ่นใหม่ๆ, คีย์บอร์ดไร้สาย เป็นต้น เป็นจุดเริ่มต้นของเทคโนโลยีส่งพลังงานแบบไร้สายผ่านทางอากาศ
นอกจากนี้ยังมีบริษัท Powercast ที่นำเสนอเครื่องส่งพลังงานสำหรับการชาร์จแบบไร้สายได้ไกลถึง 80 ฟุต ( 2 กิโลเมตร กว่าๆกันเลยทีเดียว) ซึ่งคาดว่าต้นแบบและการสาธิตเทคโนโลยีสมัยใหม่นี้จะมีปรากฎให้เห็นในงาน CES 2018 นี้
2. ทีวีแบบ Micro-LED
เทคโนโลยี ในอนาคตถ้าพูดถึง TV เรามักจะได้ยินติดดูแค่เฉพาะ LCD,LED แต่สำหรับงาน CES 2018 มีการคาดการณ์ว่า Samsung เตรียมเปิดตัวทีวีในรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า Micro-LED ที่ใช้หลอดไฟ LED ขนาดเล็กกว่า 100 micrometers ซึ่งจะให้ประสิทธิภาพของแสงได้ละเอียดดีขึ้นอย่างแน่นอน พร้อมอัตราความคมชัดสูงและให้สีดำที่ดำสนิท แค่นั้นยังไม่พอ ยังเป็น TV ที่ประหยัดพลังงานมากกว่ารุ่นก่อนๆ ที่ใช้หลอดแบบเก่า อีกด้วย
3. Smart home
เทคโนโลยี ในอนาคต
ปี 2017 ที่ผ่านมา อุปกรณ์ประเภทลำโพงที่สั่งงานด้วยเสียง กลายเป็นที่นิยมพอสมควร บริษัทเกี่ยวข้องที่ผลิตอุปกรณ์เหล่านี้ได้ให้ความสนใจ โดย Alexa จาก Amazon ถือว่าเป็นอุปกรณ์ภายในบ้านที่ได้รับความนิยมในต่างประเทศ ซึ่งหลังจากได้รับความนิยมพอสมควรก็มีหลายบริษัท ได้ให้ความสนใจพัฒนาและผลิตออกมาหลากหลายรุ่นด้วยกันในตลาดประเภทนี้ จากในงาน CES 2018 อุปกรณ์ประเภท Smart home ที่ส่งงานด้วยเสียง เป็นที่นิยมและสนใจอยู่ไม่น้อย ซึ่งฟังก์ชั่นการทำงานด้วยเสียง น่าจะมีแนวโน้มที่จะเอาไปพัฒนาสานต่อเพื่อไปพัฒนาเอาไปใช้กับอุปกรณ์อย่างอื่นได้อีกด้วย
4. อีกก้าวของ Augmented reality
เทคโนโลยี ในอนาคตจากเกม Pokemon GO ที่นำเสนอรูปแบบการเล่นเกมลักษณะ Augmented reality หรือ AR จนกลายเป็นกระแสฮิตไปทั่วโลก สร้างความคึกคักให้กับวงการ AR เป็นอย่างมาก นั้นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้มีการพัฒนา AR ร่วมกับเทคโนโลยีต่าง ๆ เป็นการสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้คนที่สามารถเข้าถึงโลกเสมือนจริงภายใต้โลกแห่งความเป็นจริงได้ ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงที่หลายบริษัทจะนำเสนอเทคโนโลยี AR ใหม่ๆ ภายในงาน CES 2018 ได้แก่ Carl Zeiss, Occipital, Kinmo, Kodak, Royole และ Sony
5. สงครามในตลาด “โน้ตบุ๊ค” จะดุเดือดอีกครั้ง
เทคโนโลยี ในอนาคตตลาดโน้ตบุ้คที่เงียบเหงามาหลายปี แต่แนวโน้มว่าในงาน CES 2018 เราจะได้เห็นการแข่งขันของผู้ผลิตโน้ตบุ๊คกันอย่างดุเดือด ซึ่งโน้ตบุ๊คประเภทที่มีน้ำหนักเบา ประสิทธิภาพสูง ตอบโจทย์การพกพา ดีไซน์สวยงาม สามารถใช้งานต่อเนื่องได้ยาวนาน อาจจะกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง
ขณะเดียวกัน ในฝั่งผู้ผลิตซีพียูสองค่ายยักษ์ใหญ่อย่าง Intel และ AMD จะยังขับเคี่ยวกันอย่างดุเดือด และที่น่าจับตามอง คือ Qualcomm ที่เริ่มหันมาพัฒนาซีพียูสำหรับโน้ตบุ๊คที่ใช้ Windows 10 S โดยมี ASUS กับ HP ได้สองพาร์ทเนอร์แรกเข้าร่วมด้วยในการพัฒนาครั้งนี้
6. หุ่นยนต์
เทคโนโลยี ในอนาคตไม่ต้องแปลกใจเลยว่า เราจะได้เห็นหุ่นยนตร์คล้ายๆ กับในหนังอย่าง iRobot หรือ Terminator แต่หุ่นยนต์รุ่นใหม่ที่คาดว่าจะถูกนำมาโชว์ในงาน CES 2018 จะเน้นไปในทางการเป็นผู้ช่วยให้กับผู้คน หรือเป็นผู้ช่วยในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ซึ่งสิ่งที่จะพัฒนาเป็นอย่างมาก คือ Artificial Intelligence หรือ A.I. เป็นส่วนสำคัญที่สุดในการสั่งการขับเคลื่อนหุ่นยนต์ให้มีความสามารถในการโต้ตอบกับผู้คนได้มากขึ้น เข้าใจในวิเคราะห์เสียงภาษาจากคนพูด สามารถวิเคราะห์และให้คำแนะนำ หรือช่วยตัดสินใจให้กับผู้คนได้มากขึ้นอีกด้วย
7. สมาร์ทโฟน
เทคโนโลยี ในอนาคตแม้กราฟตัวเลขการเติบโตของตลาดสมาร์ทโฟนจะไม่พุ่งสูงมาก แต่การแข่งขันของผู้ผลิตหลายๆเจ้ายังเป็นไปอย่างดุเดือด งานออกแบบหน้าตาตัวสมาร์ทโฟนเองค่อนข้างที่ใกล้เคียงกัน รวมไปถึงสเปคและประสิทธิภาพที่ให้ความคุ้มค่าเกินราคามากยิ่งขึ้น
ในงาน CES 2018 คาดว่าผู้ผลิตบางเจ้าจะต้องมีการนำตัวต้นแบบ หรือ สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ๆมาโชว์ในงานนี้อย่างแน่นอน ตัวอย่างการออกแบบใหม่ๆ ของเครื่องที่ทำจากกกระจก, สัดส่วนหน้าจอ 18:9, กล้องคู่, ตัด headphone jack ทิ้ง และกันน้ำได้ จะมีมากับสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ตั้งแต่ต้นปี ส่วนจะมีค่ายไหนบ้างต้องรอติดตามครับ
8. Smart Car
เทคโนโลยี ในอนาคตช่วงตลอดปี 2017 ที่ผ่านมา แนวโน้มของตลาดรถยนต์เริ่มให้ความสนใจกับการพัฒนารถยนต์ส่วนบุคคลที่สามารถขับเคลื่อนเองได้อัตโนมัติ พร้อมระบบอันชาญฉลาดที่สามารถควบคุมและให้ความปลอดภัยกับคนนั่งได้ และช่วงปลายปีเริ่มมีค่ายรถยนต์บางราย เริ่มพัฒนารถโดยสารขนส่งสาธารณะแบบขับเคลื่อนเองอัตโนมัติไปบ้างแล้วเช่นกัน รวมไปถึงการพัฒนารถที่ใช้พลังงานไฟฟ้า, ไนโตรเจน หรือพลังงานอื่นๆ ทดแทนการใช้น้ำมัน

9. เทคโนโลยีที่สามารถซักได้

เทคโนโลยีที่สวมได้ หรือ wearable technology เป็นที่พูดถึงกันอย่างกว้างขวางในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตัวอย่างที่เห็นชัดที่สุดน่าจะเป็น นาฬิกาสมาร์ทว็อทช์ ที่กลายเป็นสินค้าที่พบเห็นทั่วไปภายในเวลาไม่กี่ปี ล่าสุด wearable technology กำลังเข้าสู่ยุคของการพัฒนาเสื้อผ้า ที่มีระบบปฏิบัติการเหมือนกับว่าเรากำลังสวมใส่คอมพิวเตอร์อยู่ โครงการหนึ่งที่สะท้อนถึงเทคโนโลยีล่าสุดนี้ คือความร่วมมือระหว่างบริษัท Google และบริษัทเสื้อผ้า Levi’s ของสหรัฐฯ

คุณไอวาน ปูพิเรพ (Ivan Poupyrev) จาก Google กล่าวว่า เสื้อแจคเก็ตที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยโครงการร่วมดังกล่าวสามารถส่งสัญญาณสั่น และสัญญาณแสง เตือนผู้สวมใส่เมื่อมีสายเรียกเข้า นอกจากนั้น เมื่อผู้ใส่เสื้อ ลูบไปที่ผ้าบริเวณปลายแขน ระบบสามารถบอกถึงเส้นทางการเดินทาง และเปิดเพลง เมื่อเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนได้



อ้างอิง : https://www.aripfan.com/ces-2018-trend-technology (ภาษาไทย)
อ้างอิง : https://www.tomsguide.com/us/ces-2018-preview,news-26312.html (English)

อ้างอิง : https://www.voathai.com/a/tech-washable/4360506.html (เทคโนโลยีซักได้)

Leave a Reply

Subscribe to Posts | Subscribe to Comments

เกี่ยวกับ

เว็ปไซต์นี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา คอมพิวเตอร์สำหรับโลกอนาคต2

จำนวนครั้งที่เข้าชม

- Copyright © คอมพิวเตอร์สำหรับโลกอนาคต2 - Contact - Powered by Blogger - Designed by Kart Tags -